Skip to content
หน้าแรก
ผลิตภัณฑ์
WiPLUX Product
M series
M40
M42
M80
M84
L series
L8016
L8030
S series
Q series
Co-Product
matismart (Smart Circuit Breaker)
M5StickC (Sensor)
Acrel (Energy meter)
Platform
บริการ
สนับสนุน
เกี่ยวกับเรา
บทความ
IoT
Hardware Differences Between Industrial IoT and IoT
PDU
พลังงาน
เครือข่าย
Network
ไฟฟ้า
ทำไมต้องวัดพลังงานไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าในไทย
วิธีการประหยัดไฟฟ้า
ไฟฟ้า 1 เฟส 3 เฟส
กระแสไฟฟ้า AC กับ DC
APPLY DEALER
WiPLUX CLOUD
หน้าแรก
ผลิตภัณฑ์
WiPLUX Product
M series
M40
M42
M80
M84
L series
L8016
L8030
S series
Q series
Co-Product
matismart (Smart Circuit Breaker)
M5StickC (Sensor)
Acrel (Energy meter)
Platform
บริการ
สนับสนุน
เกี่ยวกับเรา
บทความ
IoT
Hardware Differences Between Industrial IoT and IoT
PDU
พลังงาน
เครือข่าย
Network
ไฟฟ้า
ทำไมต้องวัดพลังงานไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าในไทย
วิธีการประหยัดไฟฟ้า
ไฟฟ้า 1 เฟส 3 เฟส
กระแสไฟฟ้า AC กับ DC
APPLY DEALER
WiPLUX CLOUD
ทำไมต้องวัดพลังงานไฟฟ้า?
การวัดพลังงานไฟฟ้าในแต่ละส่วนของระบบ (ไฟฟ้า 1 เฟส 3 เฟส และ DC) มีความจำเป็นด้วยเหตุผลหลายประการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างผลกำไรของผู้ประกอบการ จากการประหยัด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน การบำรุงรักษา การผนวกกับระบบ ERP และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
1. การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร
การวัดค่าพลังงานที่แม่นยำช่วยให้จัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง การระบุพื้นที่ที่ใช้พลังงานมากและการริเริ่มการประหยัดพลังงาน เปิดปิดตรงเวลากับการใช้งานจะส่งผลโดยตรงต่อผลกำไร
2. การจัดการต้นทุนพลังงานและการประหยัด
การวัดค่าพลังงานที่แม่นยำช่วยระบุจุดสูญเสียพลังงานและความไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่มาตรการประหยัดพลังงานตามเป้าหมายและการลดต้นทุน ซึ่งส่งผลดีต่อผลกำไร
3. บาลานซ์เฟสและประสิทธิภาพ
การวัดพลังงานในแต่ละส่วนช่วยให้มั่นใจได้ถึงการกระจายโหลดในแต่ละเฟสที่สมดุล ลดการสูญเสียพลังงานให้น้อยที่สุด และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร
4. การจัดการด้านอุปสงค์
ข้อมูลพลังงานเรียลทามช่วยให้โรงงานสามารถปรับการใช้พลังงานในช่วงพีคโหลด ซึ่งทำให้ลดต้นทุนด้านพลังงานและส่งผลบวกต่อกำไร
5. การเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษา
การวัดพลังงานช่วยเชื่อมโยงการใช้พลังงานกับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ความสัมพันธ์นี้ช่วยให้การกำหนดกลยุทธ์การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ลดเวลาหยุดทำงานและค่าบำรุงรักษา
6. การร่วมกับ ERP และการวางแผนทรัพยากร
การรวมข้อมูลพลังงานเข้ากับระบบ ERP ช่วยให้สามารถวางแผนทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้พลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพนี้นำไปสู่การลดต้นทุนและเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งส่งผลต่อผลกำไรในเชิงบวก
7. การดูแลการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง
การติดตามผลข้อมูลพลังงานที่ได้มาให้ถึงจุดเริ่มของประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าบรรลุผลสำเร็จในการประหยัดพลังงาน ซึ่งนี่คือเหตุของกำไรที่เพิ่มขึ้น
8. ประสิทธิภาพของอุปกรณ์และการเพิ่มประสิทธิภาพ
การวัดการใช้พลังงานช่วยระบุการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ลดการสูญเสียพลังงาน ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และสนับสนุนเป้าหมายผลกำไรโดยรวม
9. การทำโปรไฟล์โหลดและการวางแผนการผลิต
การทำโปรไฟล์ของอุปกรณ์โหลดแต่ละเครื่องหรือของแต่ละสายการผลิต โดยใช้การวัดพลังงานช่วยให้สามารถจัดตารางการผลิตที่เหมาะสมที่สุดโดยพิจารณาจากความพร้อมของพลังงานและต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไร
10. ความยั่งยืน และคาร์บอนฟุตพริ้นท์
การแสดงให้เห็นถึงความพยายามด้านความยั่งยืนผ่านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลดีต่อการปล่อยคาร์บอนที่ลดลงของผู้ประกอบการ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งนี้สร้างภาพลักษณ์ชื่อเสียงของแบรนด์ ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ลดการกีดกันทางการค้า และช่วยสร้างผลกำไรในระยะยาว